จากการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ก่อให้เกิดความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูงที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น จากการเจริญเติบโตของตลาดดังกล่าว ฮิตาชิได้ก่อตั้งสำนักงานตัวแทนแห่งแรกในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 บริษัท ฮิตาชิ คอนซูเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้ชื่อ “บริษัท ยู.อี.ไอ. ฮิตาชิ จำกัด” เริ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อตอบสนองความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าภายในประเทศไทย อย่างไรก็ตามด้วยความต้องการมอเตอร์ไฟฟ้าคุณภาพสูงที่เพิ่มสูงขึ้นในปี พ.ศ. 2532 บริษัท ฮิตาชิ อินดัสเตรียล เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ก่อตั้งขึ้นที่จังหวัดสมุทรปราการ และนับจากนั้นเป็นต้นมาบริษัทฯ ได้กลายเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลายมากที่สุดในประเทศไทย
ด้วยการสนับสนุนจากบริษัท ฮิตาชิ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) บริษัท ฮิตาชิ อินดัสเตรียล เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด สามารถก่อตั้งกลุ่มผู้บริหารที่มีประสบการณ์และแรงงานไทยที่มีความชำนาญ เพื่อขยายขอบเขตการผลิตให้ เพียงพอกับความต้องการ
ในปี พ.ศ. 2538 บริษัทฯ จึงได้เริ่มการก่อสร้างโรงงานในอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี โรงงานแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2539 และเริ่มดำเนินการผลิตในเดือนเมษายนของปีเดียวกัน โดยมีความเชี่ยวชาญในการผลิตอุปกรณ์อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น มอเตอร์ วอร์เท็กซ์โบลเวอร์ (Vortex blowers) อุปกรณ์ตัดกระแสไฟฟ้า (Circuit breakers) และสวิตช์ตัด-ต่อไฟฟ้าชนิดต่างๆ
ปี | ประวัติ |
---|---|
2520 | เริ่มต้นทำการผลิตมอเตอร์สำหรับตลาดในประเทศไทยในนาม “บริษัท ยู.อี.ไอ. ฮิตาชิ จำกัด”
ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ฮิตาชิ คอนซูเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ HCPT |
2532 | เริ่มก่อตั้งเป็นบริษัทหนึ่งอยู่ใน HCPT (ทุนจดทะเบียน 18 ล้านบาท) |
2539 | ย้ายสถานประกอบการมาอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี หรือ KIZ (เงินทุนจดทะเบียน 162 ล้านบาท) |
2540 | เริ่มต้นทำการผลิต “มอเตอร์ (ขนาด 1.5-3.7 กิโลวัตต์)” |
2541 | เริ่มต้นทำการผลิต “วอร์เทกซ์โบเวอร์”และ“เอิร์ธลีกเกตรีเลย์” |
2542 | เริ่มต้นทำการผลิต “แมกเนติค คอนแทคเตอร์” |
2543 | ทำการต่อเติมอาคารทำการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทสวิตช์และเริ่มทำการผลิต “มอเตอร์ (ขนาด 5.5-7.5 กิโลวัตต์)” |
2544 | เริ่มต้นทำการผลิต“โมลด์เคสเซอร์กิตเบรกเกอร์”และ“มอเตอร์ขนาด (11-15 กิโลวัตต์)” |
2545 | บริษัท ฮิตาชิ อินดัสเตรียล อิควิปเมนท์ ซิสเต็ม แยกตัวออกมาเป็นบริษัทสาขาของฮิตาชิ |
2545 | สร้างอาคารโรงงานใหม่เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์สวิชท์ ยอดขายรวมทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาทต่อปี |
2546 | ได้รับใบรับรอง ISO 9001:2000, เริ่มต้นทำการผลิต “มอเตอร์ขนาด (18.5-30 กิโลวัตต์)” |
2549 | ได้รับใบรับรอง ISO ISO 14001:2002, ยอดขายรวมทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็น 1,800 ล้านบาทต่อปี |
2551 | เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 262 ล้านบาท, เริ่มต้นทำการผลิต“มอเตอร์รุ่น Neo 100” |
2552 | ได้รับใบรับรอง ISO 9001:2008 และ TIS 18001:2003 |
2553 | เริ่มต้นทำการผลิต“มอเตอร์รุ่น Neo 100 Super Power” |
2555 | เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 600 ล้านบาท, ขยายขนาดพื้นที่ของบริษัท(จาก 64,000 เป็น 96,000 ตารางเมตร) |
2557 | บริษัทครบรอบ 25 ปี (วันที่ 1 เมษายน) |
2557 | ได้รับใบรับรอง ISO 50001 |
2557 | เริ่มต้นทำการผลิต“มอเตอร์รุ่น Neo 100 Premium (IE3) ” |
2558 | ได้รับใบรับรอง ISO 9001: 2015 |
2558 | ได้รับใบรับรอง ISO 14001: 2015 |
2558 | ได้รับใบรับรอง TIS18001:2554/ OHSAS 18001:2007 |
2559 | ทำการผลิตมอเตอร์ได้จำนวน 10 ล้านตัว |
2559 | ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานระดับประเทศ (10 ปีต่อเนื่อง) |
2559 | สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน (11 ปีต่อเนื่อง) |
2559 | ได้รับใบรับรอง TLS 8001: 2010 |
2559 | ได้รับใบรับรอง ISO 50001: 2011 |